Wednesday

On the sky home.

     
     ฉันนั่งเขียนข้อความเหล่านี้ระหว่างเดินทางกลับจากเชี่ยงไฮ้ เป็นการเดินทางข้ามประเทศคนเดียวของฉันเป็นครั้งแรก และฉันดีใจที่ทุกอย่างราบลื่น :) น้ำหนักกระเป๋าของฉันเกินไป 6 กก. Carry on ของฉันก็น่าจะเกิน 7 กก. เช่นกัน ฉันพยายามจะแชร์ของจากกระเป๋าที่โหลดมาใส่ใน Carry on เพราะกลัวโดนค่าปรับ ซึ่งบางทีอาจจะคิดผิด เพราะมันหนักมากกกกกกก อยากจะแนะนำคนอื่นๆว่า อย่าไปซีเรียสเลยค่ะ มันปวดหัวไหล่นะ เวลาสะพาย Backpack ใบใหญ่ๆเข้าห้องน้ำก็ลำบาก พะลุงพะลังไปหมด ตลกตัวเองจัง แต่สนุกดีนะ 




ไฟท์ขากลับไปกรุงเทพวันนี้ 25/2/14 เครื่องบินว่างมากอาจเป็นเพราะสถานการณ์การเมืองของประเทศเรา นึกแล้วก้เศร้าใจ หดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เราทุกคนกำลังหยุดเดิน ไม่ขอเรียกว่าเรากำลังถอยหลัง แต่เราแค่หยุดเดิน และประเทศอื่นๆก็เดินหน้าต่อไป ซึ่งในทุกๆวินาทีประเทศเหล่านั้นกำลังพัฒนา และหาทางเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไป และในแต่ละก้าวนั้นก้าวอย่างมั่นคงและยั่งยืน  

มาที่เชี่ยงไฮ้ก็อดคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองไม่ได้ ทำไมหนอ ทำไม ?? ทำไมเราเห็นแก่ตัวกันจัง ซึ่งฉันก็หมายถึงตัวฉันเองด้วย ทำไมเราถึงปล่อยชิล เราทำไมมองเห็นแต่เรื่องตัวเองสำคัญกว่าเรื่องส่วนรวมเสมอ ? เพราะเรา ประเทศชาติของเราไม่เคยผ่านช่วงเหตุการณ์ที่เลวร้ายจริงจังใช่มั้ย? เพราะเราไม่เคยสูญเสียกันจริงจังใช่มั้ย เพราะเราไม่เคยไม่เหลืออะไรเลยใช่มั้ย?  ญี่ปุ่นสูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่2 อย่างยับเยิน!! จนต้องปิดประเทศปลูกฝังและสั่งสอนให้คนของเค้ารักและหวงแหนความเป็นตัวตนของเค้า ฟังดูเจ็บปวด ... แต่ก็ยังดีที่สงครามโลกครั้งนั้นญี่ปุ่นสู้กับอเมริกาแล้วแพ้.... 

ณ ตอนนี้เราสู้กันเอง ฆ่าฟันกันเอง เกลียดกันเอง ดูถูกกันเอง .... 

ฉันก็ไทยคนนึงที่หวังว่าคำว่า "สันติภาพและเสรีภาพ" มันมีอยู่จริงที่นี่ หรือมันอาจจะดีเหมือนกันนะ สูญเสียซะบ้าง จะได้รู้ว่าสิ่งที่มีอยู่มีค่าขนาดไหน อินเรื่องการเมืองไปหน่อย เพราะฉันมองโลกใบนี้อย่างสวยงาม หรือที่ใครๆชอบพูดว่า "โลกสวย" ฉันยอมรับ และฉันยังฝันถึงวันที่พวกเราอยู่กันอย่างสันติและไม่มีสงคราม 


กลับมาเรื่องทริปครั้งนี้ของฉันดีกว่า 

     จากครั้งก่อนที่ฉันบอกว่าฉันมาเชี่ยงไฮ้ครั้งนี้ จุดปนะสงค์คือ มาส่งเพื่อน(ผิงผิง) มาเรียนต่อที่นี่ 
เพราะฉันเป็นห่วง 
แพลนของทริปนี้มีอะไรบ้าง ตอบอย่างมั่นๆเลยว่า "ไม่มี" ฮ่าๆ ฉันไม่รู้จักเชี่ยงไฮ้ ฉันพูดจีนไม่ได้ และเชี่ยงไฮ้ก็ไม่ใช่ประเทศใน wish list ของฉันเลย ในหัวของฉันไม่มีชื่อประเทศนี้ผุดออกมา หรือเป็นติ่งเซเรบั่มในสมอง 

เอาเป็นว่าพาไปไหนไป พากินอะไรกิน ช๊อปปิ้งไม่ใช่เรื่องหลัก 
แต่อย่างนึงที่เวลาที่ฉันเดินทางไปประเทศต่างๆสิ่งที่ฉันชอบทำคือ เดินเปิดแผนที่สำรวจประเทศบ้านเมืองนั้นๆ
ดูว่าถนน ป้ายจราจร บ้านที่พักอาศัย เป็นอย่างไร ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม 

     และมีอีกสิ่งนึงที่หลงรักเวลาเดินทางคือ การเดินหาคาเฟ่เจ๋งๆ บรรยากาศชิลๆ ฉันชอบเดินหา cafè ที่อยู่ตามมุม หลืบถนน ตรอกเล็กๆ มันมีเสน่ห์ดี

ฉันชอบกลิ่นกาแฟที่อบอวลอยู่ในร้าน ฉันชอบเสียงเพลงแจ๊สหรือเพลงอินดี้ที่เปิดคลอเบาๆภายในร้าน ฉันชอบเสียงกระดาษที่ถูกเปิดจากหนังสือที่กำลังถูกอ่าน ฉันชอบสีหน้ายิ้มแย้มของเจ้าของร้านหรือพนักงาน ฉันชอบอเมริกาโน่ร้อนๆในอากาศหนาวๆ 

ฉันจะนั่งจิบมัน นั่งมองคนที่เดินผ่านไปมาหน้าร้าน มองดูวิถีชีวิตของพวกเค้าเหล่านั้น ถ้าฉันมากับเพื่อนฉันจะชวนเค้าคุยในเรื่องที่ลึกซึ้ง มีคุณค่าและมีความหมายมากกว่าเรื่องที่ตลกโปกฮา แฟชั่น ดารา นักร้อง ก๊อซซิบเม้ามอย บลา บลา บลา 
ฉันชอบบอกเล่าสิ่งที่ฉันรู้สึก สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันไปอ่านเจอมาแล้วประทับใจ แชร์มุมมองการใช้ชีวิตและการมองโลกของฉัน  จากนั้นฉันจะนั่งฟังสิ่งที่เพื่อนของฉันแชร์กลับมา เราจะนั่งหัวเราะกับเรื่องบางเรื่องที่บางทีมันคืออดีตที่แสนสนุก ซึ่งในความทรงจำของเราสิ่งนั้นมันยังมีชีวิต เอากลับมาเล่ากี่ทีเราก็จะรู้สึกถึงตอนนั้นได้เสมอ 

นอกจากการแชร์เรื่องราวในชีวิตต่างๆนานา สิ่งๆนึงที่ฉันชอบทำกับเพื่อนเสมอคือ นั่งมองผู้ชายหล่อที่เดินผ่านเราไปมา มันสนุกมากจริงๆนะ

มาเชี่ยงไฮัครั้งนี้
เป็นการเจอร้านกาแฟที่เจ๋งที่สุดที่ฉันเคยเจอมา (พูดจริงนะ) ร้านนี้มีชื่อว่า UTAU เป็นภาษาญี่ปุ่น 
ซึ่งร้านนี้อยู่แถวโรงแรมที่ฉันพัก เมื่อเดินออกจากทางด้านหลังของโรงแรมไป 2 บล็อกถนนก็จะถึง ร้านนี้ฉันเห็นตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วแต่เดินเลยไปเพราะว่าเราเปิด Google map หาร้านกาแฟและร้านอาหารที่โชว์ในนั้น แล้วร้านนี้ไม่ได้มีอยู่ในแผนที่ ฉันตั้งใจเลยว่าก่อนกลับต้องมาให้ได้!! แค่เห็นหน้าร้านแล้วอยากเข้านี่คงมีบางอย่างที่ connect กับฉันได้จริงๆ

พอมีโอกาสก่อนกลับฉันเลยตัดสินใจต้องไปให้ได้ตอนช่วงเช้าถึงบ่ายเพราะบ่าย3 ฉันต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับไทยแล้ว 
รู้อะไรมั้ย .... ฉันแค่เดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน พนักงานก็รีบมาเปิดประตูต้อนรับเชิญเข้าข้างใน และบอกให้นำร่มวางไว้ตรงที่ใส่ร่มตรงหน้าร้านเพราะว่าวันนี้ฝนตกทั้งวัน 





ก้าวแรกที่เดินเข้าร้าน กลิ่นกาแฟอ่อนๆผสมกับกลิ่นบุหรี่ของโต๊ะที่นั่งอยู่ก่อนเตะจมูกเข้าอย่างจัง ตอนแรกคิดว่าจะนั่งไม่ได้แน่ๆ แต่ความน่ารักของร้านก็กลบกลิ่นบุหรี่ดหล่านั้นไปหมด บรรยากาศที่อบอุ่น มองดูแล้วก็อดคิดไม่ได่ว่านี่มัน arts gallery นินา มีทั้งภาพถ่าย ภาพวาด ราวโชว์เสื้อผ้า กล้องถ่ายรูปสมัยโบราณ ตั้งโชว์เป็นฟอนิเจอร์ซึ่งไม่ขัดกับทุกๆอย่าง มีชั้นวางหนังสือ มีแผ่นเสียงเก่าๆวางอยู่บนชั้น มีแจกันที่ตั้งใจจัดว่างไว้บนเค้าเตอร์  ทุกอย่างอยู่ในที่ที่เหมาะสมพอดีและกลมกลืนกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน น่ารักมากกกกกกกกกก


น่ารักมากจนอดใจขอถ่ายรูปกับสาวๆบานิสต้า 3 คนนี้ไม่ไหว และถึงกับต้องไปถามถึงความหมายของชื่อร้าน ที่มาที่ไป จนได้คำตอบมาว่าเจ้าของร้านต้องการให้คาเฟ่นี้เป็น Art Space เป็นแหล่งรวมผลงานของเพื่อนๆที่เป็นศิลปิน มีทั้งโชว์และวางขาย เจ้าของคาเฟ่เป็น Fashion Designer เธอเลยเย็บชุดที่เธอทำมาวางขายและโชว์ในร้านด้วย 




คุยกันไปคุยกันมาฉันก็ได้เพื่อนกลับมา 1 คน 1 ใน 3 คนที่เป็นบานิสต้า เราแลกที่อยู่ เบอร์โทร. อีเมลกันเรียบร้อย เธอบอกว่าเธอชอบท่องเที่ยว และขอที่อยู่ของเพื่อนที่เธอรู้จักระหว่างทาง เพื่อทึ่เธอจะเขียนโปสการ์ดให้เวลาที่เธอได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ 

เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ฉันมากก เวลาที่ฉันเดินทางฉันจะมีสมุดเล่มนึงเป็น Journal ของฉันสำหรับขอที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล ติดรูปเพื่อนที่ฉันเจอระหว่างการเดินทาง เพื่อที่ฉันจะได้เขียนโปสการ์ดหาพวกเค้า ฉันตั้งใจว่า Journal เล่มนี้ฉันจะทำเองเป็น hand made journal. ฉันจะทำจริงๆนะ

คาเฟ่ที่2 ฉันก็ต้องยกให้ Starbucks เซียงเทียนตี้  ที่นี่ฉันเป็นคนขอร้องให้ผิงผิงพาฉันไปเองเพราะที่นี่ติด Top10 ของ Starbucks ที่สวยที่สุดในโลกกกก!! ซึ่งก็สมตามคำล่ำลือเพราะสวยจริงๆ 
คนก็เยอะจนล้นออกมาถึงด้านนอก พวกเค้าก็เหมือนฉันที่มาพิสูจน์ว่ามันจะสวยซะขนาไหน  การจิบชาเขียวลาเต้ร้อนๆ (เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองด้วยนะ) นั่งด้านนอกมองดูผู้คน กับสภาพอากาศประมาณ 5 องศา มันดีจริงๆนะ :) 





*** แต่ฉันว่าเมืองไทยชงอร่อยกว่านะฮ่าๆ *** 

สิ่งที่ฉันเจอวันนี้ มันทำให้ฉันมีความสุขมาก เพราะฉันรู้สึกถึงทุกๆอย่างได้อย่างชัดเจน

ศรุดา 25/2/14 9.20PM (on the sky home) 



No comments:

Post a Comment